ชมรมนักวิทยุสมัครเล่นแก่นทอง จังหวัดขอนแก่น ความถี่ 144.750 MHz
ยินดีต้อนรับคุณ,
บุคคลทั่วไป
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
1 ชั่วโมง
1 วัน
1 สัปดาห์
1 เดือน
ตลอดกาล
เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
หน้าแรก
ช่วยเหลือ
ค้นหา
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
ชมรมนักวิทยุสมัครเล่นแก่นทอง จังหวัดขอนแก่น ความถี่ 144.750 MHz
»
สถานที่ท่องเที่ยวและคลังแห่งการเรียนรู้ทางพุทธศาสนา
»
พระเถรานุเถระ พระเกจิอาจารย์ และองค์ปู่ฤาษี
»
น้อมใจส่งเสด็จสู่พระนิพพาน สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน)
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
หน้า: [
1
]
2
ลงล่าง
ผู้เขียน
หัวข้อ: น้อมใจส่งเสด็จสู่พระนิพพาน สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน) (อ่าน 7142 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
HS4 VQN
Sr. Member
กระทู้: 317
น้อมใจส่งเสด็จสู่พระนิพพาน สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน)
«
เมื่อ:
26 ตุลาคม 2013, 20:02:02 »
พระประวัติและปฏิปทา
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน)
วัดบวรนิเวศวิหาร ราชวรวิหาร
แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพฯ
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26 ตุลาคม 2013, 22:00:32 โดย HS4 VQN
»
บันทึกการเข้า
คันเฮาทำดีแล้ว เขาซังก็ตามซ่าง
คันเฮาเฮ็ดแม่นแล้ว หยันหย่อก็ซ่างเขา
เขาสิพากันท้วง ทั้งเมืองก็บ่เงี่ยง
เขาสิติทั้งค่าย ขายหน้าก็บ่อาย
[img]http://upic.me/i/3q/547204_4384808
HS4 VQN
Sr. Member
กระทู้: 317
Re: น้อมใจส่งเสด็จสู่พระนิพพาน สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน)
«
ตอบกลับ #1 เมื่อ:
26 ตุลาคม 2013, 20:08:06 »
ขออนุญาตินำเสนอภาพพระราชกรณียกิจ และพระประวัติ ขององค์ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
๏ พระประวัติในเบื้องต้น
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน)
ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๔ แห่งวัดบวรนิเวศวิหาร
และเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ แห่งราชวงศ์จักรี
มีพระนามเดิมว่า “เจริญ คชวัตร” พระนามฉายาว่า “สุวฑฺฒโน”
ประสูติเมื่อวันศุกร์ ขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีฉลู จุลศักราช ๑๒๗๕
ตรงกับวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๕๖ (รัตนโกสินทรศก ๑๓๒)
เวลาประมาณ ๑๐ ทุ่ม มีเศษ (หรือเวลาประมาณ ๐๔.๐๐ นาฬิกาเศษ
แห่งวันเสาร์ที่ ๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๕๖ ตามที่นับแบบปัจจุบัน)
ณ บ้านวัดเหนือ ตำบลบ้านเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖
พระชนกชื่อ นายน้อย คชวัตร (ถึงแก่กรรม พ.ศ. ๒๕๐๘)
บรรพชนของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ เป็นที่น่าสนใจไม่น้อย
กล่าวคือ มาจาก ๔ ทิศทาง
พระชนกนั้นมีเชื้อสายมาจากกรุงเก่าทางหนึ่ง จากปักษ์ใต้ทางหนึ่ง
ส่วนพระชนนีมีมีเชื้อสายมาจากญวนทางหนึ่ง จากจีนทางหนึ่ง
นายน้อย คชวัตร เป็นบุตรนายเล็ก และ นางแดงอิ่ม
เป็นหลานปู่หลานย่าหลวงพิพิธภักดี และนางจีน
ตามที่เล่ามานั้น หลวงพิพิธภักดี เป็นชาวกรุงเก่า
เข้ามารับราชการในกรุงเทพฯ
ได้ออกไปเป็นผู้ช่วยราชการอยู่ที่เมืองไชยา คราวหนึ่ง
และเป็นผู้หนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ไปคุมเชลยที่เมืองพระตะบองคราวหนึ่ง
หลวงพิพิธภักดี ไปได้ภริยาชาวเมืองไชยา ๒ คน
ชื่อ ทับ คนหนึ่ง ชื่อ นุ่น คนหนึ่ง
และได้ภริยาชาวเมืองพุมเรียง ๑ คน ชื่อ แต้ม
ต่อมาเมื่อครั้งพวกแขกยกเข้ามาตีเมืองไทร
เมืองตรัง เมืองสงขลา เมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๑
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พระยาศรีพิพัฒน์
(ทัด ต่อมาเป็นสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ ในรัชกาลที่ ๔)
เป็นแม่ทัพยกออกไปปราบปราม
หลวงพิพิธภักดี ได้ไปในราชการทัพครั้งนั้นด้วย
และไปได้ภริยา ชื่อ จีน ซึ่งเป็นธิดาของพระยาปลัดเมืองตะกั่วทุ่ง (สน)
เป็นหลานสาวพระตะกั่วทุ่ง
หรือ พระยาโลหภูมิพิสัย (ขุนดำ ชาวเมืองนครศรีธรรมราช)
มีเรื่องราวดังที่เขียนไว้ในจดหมายหลวงอดุมสมบัติว่า
หลวงพิพิธภักดี ได้พาจีน
ภริยาจากตะกั่วทุ่งมาตั้งครอบครัวอยู่ในกรุงเทพฯ
ได้รับภริยาเดิม ชื่อ แต้ม จากพุมเรียงมาอยู่ด้วย
(ส่วนภริยาชาวเมืองไชยาอีก ๒ คน ได้ถึงแก่กรรมก่อน)
เวลานั้น พี่ชายของ หลวงพิพิธภักดี
เป็นที่พระพิชัยสงคราม เจ้าเมืองศรีสวัสดิ์ กาญจนบุรี
และ พระยาประสิทธิสงคราม (จำ) เจ้าเมืองกาญจนบุรีครั้งนั้น
ก็เป็นอาของหลวงพิพิธภักดี
ต่อมาหลวงพิพิธภักดีพาภริยาทั้ง ๒
ไปตั้งครอบครัวอยู่ที่เมืองกาญจนบุรี เล่ากันมาว่า
หลวงพิพิธภักดี เป็นคนดุ
เมื่อรับราชการเป็นผู้ช่วยราชการเมืองไชยา
เคยเฆี่ยนนักโทษตายทั้งคา
เป็นเหตุให้หลวงพิพิธภักดีสลดใจลาออกจากราชการ
แต่บางคนบอกเล่าว่า
ต้องออกจากราชการเพราะความขึ้น
เรื่องที่เกี่ยวกับจีนหลานสาวพระตะกั่วทุ่ง
เมื่ออพยพมาอยู่ที่เมืองกาญจนบุรีนั้นแล้ว
พระพิชัยสงคราม ผู้พี่ชาย จะให้เขารับราชการอีก
หลวงพิพิธภักดี ไม่ยอมรับ สมัครทำนาอาชีพ
นายน้อย คชวัตร เกิดเมื่อวันจันทร์ ขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือนยี่ ปีวอก
ตรงกับวันที่ ๒๙ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๒๗
ได้เรียนหนังสือ ตลอดจนถึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุอยู่ ๒ พรรษา
ในสำนัก พระครูสิงคบุรคณาจารย์ (สุด)
เจ้าอาวาสวัดเทวสังฆาราม (วัดเหนือ) ซึ่งเป็นวัดใกล้บ้าน
พระครูสิงคบุรคณาจารย์ เป็นบุตรคนเล็กของหลวงพิพิธภักดี
และ นางจีน เป็นอาคนเล็กของ นายน้อย คชวัตร เอง
เมื่อลาสิกขาแล้วได้เข้ารับราชการ
เริ่มตั้งแต่เป็นเสมียนสังกัดกระทรวงมหาดไทยที่เมืองกาญจนบุรี
และได้แต่งงานกับ นางกิมน้อย เมื่ออายุ ๒๗ ปี
นางกิมน้อย คชวัตร มาจากบรรพชนทางญวนและจีน
บรรพชนสายญวนนั้นเข้ามาในเมืองไทย รัชกาลที่ ๓
เมื่อครั้ง เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี)
ยกทัพไปปราบจลาจลเมืองญวน ได้ครอบครัวญวนส่งเข้ามาถวาย
รัชกาลที่ ๓ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ญวนพวกที่นับถือพระพุทธศาสนาไปอยู่ที่เมืองกาญจนบุรี
เมื่อปลายปีมะเมีย พ.ศ. ๒๓๗๒ เพื่อรักษาป้อมเมือง
ส่วนพวกที่นับถือคริสต์ศาสนา
ให้ไปรวมอยู่กับพวกญวนเข้ารีตที่ตำบลสามเสน ในกรุงเทพฯ
พวกญวนที่ไปตั้งครอบครัวอยู่ที่เมืองกาญจนบุรีในครั้งนั้น
ได้สร้างวัดญวนขึ้นที่เมืองกาญจนบุรีวัดหนึ่ง ชื่อ วัดครั๊นถ่อตื่อ
ต่อมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
ได้พระราชทานนามวัดว่า “วัดถาวรวราราม”
บรรพชนสายญวนของนางกิมน้อยเป็นพวกที่เรียกว่า “ญวนครัว”
ที่เข้ามาเมืองไทยในครั้งนั้น
ส่วนบรรพชนสายจีนนั้น ตามที่เล่ามาว่า
ได้โดยสารเรือสำเภามาจากเมืองจีน
เรือมาแตกก่อนจะถึงฝั่งเมืองไทย
แต่ก็รอดชีวิตมาขึ้นฝั่งเมืองไทยได้
และได้ไปตั้งหลักฐานทำการค้าอยู่ที่เมืองกาญจนบุรี
นางกิมน้อย คชวัตร
เป็นบุตรของนางเฮงเล็ก แซ่ตัน (สายจีน) และนายทองคำ (สายญวน)
เกิดเมื่อวันจันทร์ แรม ๖ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีจอ
ตรงกับวันที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๒๙
ที่ตำบลบ้านเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี
มีชื่อเรียกเมื่อเป็นเด็กว่า “กิมน้อย” แปลว่าเข็มน้อย
คำว่า “กิม” เป็นคำญวณ แปลว่าเข็ม
แต่งงานกับนายน้อย คชวัตร เมื่ออายุ ๒๕ ปี
และใช้ชื่อเมื่อแต่งงานแล้ว
ตามที่พบในสมุดบันทึกของนายน้อย คชวัตร ว่า “แดงแก้ว”
แต่ต่อมาใช้ชื่อว่า “กิมน้อย” หรือ “น้อย” ตลอดมา
นางกิมน้อย คชวัตร พูดญวนได้
และอ่านเขียนภาษาไทยได้เล็กน้อย
ตามประวัติการรับราชการ นายน้อย คชวัตร
ได้เป็นเสมียนอำเภอเมืองกาญจนบุรี เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๕
จนเป็นผู้ที่รั้งปลัดขวา
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๑ ต่อมาได้ไปตรวจราชการท้องที่
กลับมาป่วยเป็นไข้อย่างแรง
ต้องลาออกจากราชการคราวหนึ่ง
หายป่วยแล้วจึงกลับเข้ารับราชการใหม่
และได้ให้กำเนิดบุตรคนโต
คือ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๖
เป็นปลัดขวาอำเภอวังขนายในปีต่อมา
ได้สมัครเป็นสมาชิกเสือป่า เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๘
ในศกนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖
เสด็จพระราชดำเนินไปทรงซ้อมรบเสือป่าที่บ้านโป่งและนครปฐม
ก็ได้มีโอกาสไปร่วมซ้อมรบด้วย
และในศกเดียวกันนั้นเอง
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
(พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ มนุสฺสนาโค)
ได้เสด็จตรวจการคณะสงฆ์ จังหวัดกาญจนบุรี
ขณะประทับที่ วัดเทวสังฆาราม (วัดเหนือ)
ได้โปรดให้ชาวบ้าน ข้าราชการ นำบุตรหลานเล็กเข้าเฝ้า
ในวันหนึ่ง นายน้อย คชวัตร ก็ได้นำบุตรคนโต อายุ ๒ ขวบ
คือ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ เข้าเฝ้าด้วยในโอกาสนั้น
ต่อมา นายน้อย คชวัตร
ได้ย้ายไปเป็นปลัดอำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม
ได้ไปป่วยเป็นโรคเนื้อร้ายงอกขึ้น
เมื่ออาการมากได้กลับมารักษาตัวที่บ้านจังหวัดกาญจนบุรี
และได้ถึงแก่กรรมเมื่อมีอายุได้เพียง ๓๘ ปี
ทิ้งบุตร ๓ คน ซึ่งมีอายุน้อยๆ ให้อยู่ในความอุปการะของภริยา
เจ้าพระคุณสมเด็จฯ นั้น
ป้าเฮ้ง ผู้เป็นพี่หญิงของนางกิมน้อย
ได้ขอไปเลี้ยงตั้งแต่เล็กๆ และได้อยู่กับป้าเรื่อยมา
แม้เมื่อ นางกิมน้อย ต้องย้ายไปอยู่จังหวัดสมุทรสงคราม
ก็หาได้นำเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ไปด้วยไม่
เพราะเกรงใจป้าซึ่งรัก เจ้าพระคุณสมเด็จฯ มาก
ป้าเลี้ยงเจ้าพระคุณสมเด็จด้วยความทะนุถนอม
เอาใจจนใครๆ พากันว่าเลี้ยงตามใจเกินไป
จะทำให้เสียเด็กภายหลัง แต่ป้าก็เถียงว่าไม่เสีย
เมื่อทรงพระเยาว์ก่อนที่จะทรงบรรพชาเป็นสามเณรนั้น
คนภายนอกมักจะเห็นว่าเจ้าพระคุณสมเด็จฯ
ทรงมีร่างกายอ่อนแอ ขี้อาย เจ็บป่วยอยู่เสมอ
คราวหนึ่งป่วยถึงกับผู้ใหญ่คิดว่าไม่หาย
และบนว่าถ้าหายจะให้บวชแก้บน
ข้อนี้เป็นเหตุหนึ่งทำให้ทรงบรรพชาเป็นสามเณรในเวลาต่อมา
เจ้าพระคุณสมเด็จฯ
ทรงมีพระนิสัยทางพระแสดงออกตั้งแต่ทรงพระเยาว์
คือชอบเล่นเป็นพระ ทำคัมภีร์เทศน์เล็ก พัดยศเล็ก
(ตามที่เห็นคือพัดพระครูของท่านพระครูอดุลยสมณิจครั้งนั้น)
เก็บหินมาทำภูเขา มีถ้ำ ทำเจดีย์เล็กบนยอดเขา
เล่นทอดกฐินผ้าป่า เล่นทิ้งกระจาด
และทำรูปยมบาลเล็กด้วยกระดาษแบบพิธีทิ้งกระจาดที่วัดญวน
เมื่อทรงเจ็บป่วยขึ้นผู้ใหญ่ต้องนำรูปยมบาลไปเผาทิ้งเสีย
ในคราวที่ป้าต้องตื่นแต่เช้ามืดออกไปทำงาน
ก็ต้องให้เทียนไว้สำหรับจุดที่นั่งเล่นพราะไม่ยอมนอน
เจ้าพระคุณสมเด็จฯ เข้าโรงเรียนประถมศึกษาเมื่อพระชนมายุได้ ๘ ขวบ
ที่ โรงเรียนประชาบาลวัดเทวสังฆาราม ซึ่งอยู่ใกล้บ้าน
และโรงเรียนในครั้งนั้นก็คือศาลาวัดนั่นเอง ทรงเรียนจนจบชั้นสูงสุด
คือประถมศึกษาปีที่ ๓ ซึ่งเท่ากับจบประถมศึกษาเมื่อครั้งกระนั้น
ถ้าจะเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาก็ต้องย้ายไปเข้า
โรงเรียนมัธยมวัดชัยชุมพลชนะสงคราม (วัดใต้)
ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำจังหวัดกาญจนบุรี
แต่ครูโรงเรียนประชาบาลวัดเทวสังฆาราม
ชวนให้ไปเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ซึ่งจะเปิดสอนต่อไปที่
โรงเรียนประชาบาลวัดเทวสังฆาราม ซึ่งเท่ากับมัธยมศึกษาปีที่ ๑
และจะเปิดชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕ ซึ่งเท่ากับมัธยมศึกษาปีที่ ๒ ต่อไปอีก
แต่ไม่มีภาษาอังกฤษเท่านั้น
จึงตกลงเรียนที่ โรงเรียนประชาบาลวัดเทวสังฆาราม ต่อไป
มีเพื่อนนักเรียนรุ่นเดียวกันหลายคนย้ายไปเรียนชั้นมัธยมที่
โรงเรียนมัธยมวัดชัยชุมพลชนะสงคราม (วัดใต้) แล้วมาต่อที่กรุงเทพฯ
ในระหว่างเป็นนักเรียนได้สมัครเป็นอนุกาชาด
และเป็นลูกเสือได้เรียนวิชาลูกเสือ สอบได้เป็นลูกเสือเอก
ใน พ.ศ. ๒๔๖๘ ได้ฝึกซ้อมรบลูกเสืออย่างหนัก
โดยฝึกรบอย่างทหารใช้พลองแทนปืน
เพราะมีกำหนดว่า พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖
จะเสด็จพระราชดำเนินไปทรงซ้อมรบเสือป่าที่บ้านโป่งและนครปฐม
และจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ลูกเสือจากกาญจนบุรีเข้าร่วมการซ้อมรบด้วย
แต่ก็ได้เสด็จสวรรคตในศกนั้นเอง
จึงเป็นอันเลิกเรื่องการซ้อมรบเสือป่าลูกเสือ
ขณะเป็นนักเรียนอยู่นั้นเคยรับเสด็จเจ้านายหลายครั้ง
สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข
เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธ์วงศ์วรเดช
ได้เสด็จประพาสจังหวัดกาญจนบุรี
และได้เสด็จเยี่ยม โรงเรียนประชาบาลวัดเทวสังฆาราม ครั้งหนึ่ง
นายน้อย คชวัตร
นางกิมน้อย คชวัตร
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26 ตุลาคม 2013, 20:10:21 โดย HS4 VQN
»
บันทึกการเข้า
คันเฮาทำดีแล้ว เขาซังก็ตามซ่าง
คันเฮาเฮ็ดแม่นแล้ว หยันหย่อก็ซ่างเขา
เขาสิพากันท้วง ทั้งเมืองก็บ่เงี่ยง
เขาสิติทั้งค่าย ขายหน้าก็บ่อาย
[img]http://upic.me/i/3q/547204_4384808
HS4 VQN
Sr. Member
กระทู้: 317
Re: น้อมใจส่งเสด็จสู่พระนิพพาน สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน)
«
ตอบกลับ #2 เมื่อ:
26 ตุลาคม 2013, 20:14:22 »
๏ ทรงบรรพชา
ในต้นพรรษา ปีพุทธศักราช ๒๔๖๙
จะมีน้าออกบวชเป็นพระภิกษุที่ วัดเทวสังฆาราม ๒ คน
พระชนนีและป้าจึงชวนให้บวชเป็นสามเณรแก้บนเสียให้เสร็จ
จึงตกลงพระทัยบวชเป็นสามเณรในศกนั้น เมื่อพระชนมายุเข้า ๑๔ ปี
โดยมี พระครูอดุลยสมณกิจ (พุทฺธโชติ ดี เอกฉันท์)
(สุดท้ายได้เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพมงคลรังษี)
เจ้าอาวาสวัดเทวสังฆาราม (วัดเหนือ)
ที่เรียกกันว่า “หลวงพ่อวัดเหนือ” เป็นพระอุปัชฌาย์
พระครูนิวิฐสมาจารย์ (สุวณฺณโชติ เหรียญ รัสสุวรรณ)
(สุดท้ายได้เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระโสภณสมาจาร)
เจ้าอาวาสวัดศรีอุปลาราม (วัดหนองบัว)
ที่เรียกกันว่า “หลวงพ่อวัดหนองบัว” เป็นพระอาจารย์ให้สรณะและศีล
บรรพชาแล้วจำพรรษาอยู่ที่ วัดเทวสังฆาราม (วัดเหนือ)
ก่อนที่ทรงบรรพชาเป็นสามเณรนั้น
เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ไม่เคยอยู่วัด
ไม่คุ้นเคยกับหลวงพ่อและพระทุกองค์
เป็นแต่ไปเรียนหนังสือในวัด
ไปบำเพ็ญกุศลตามเทศกาลต่างๆ ในวัด
เคยพาป้าไปฟังเทศน์ตอนค่ำพรรษาหนึ่ง
มีเทศน์ชาดกติดต่อกันทุกคืนภายในพรรษา
ติดพระทัยเร่งป้าให้ไปฟังนิทานทุกคืน
ถ้าเป็นเทศน์ธรรมะฟังไม่เข้าใจก็เร่งให้กลับ
เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้อยู่กับป้าไม่เคยแยก
นอกจากไปแรมคืนเมือเป็นลูกเสือบางครั้งเท่านั้น
คืนวันสุดท้ายก่อนจะทรงบรรพชาเป็นสามเณร ป้าพูดว่า
“คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่จะอยู่ด้วยกัน”
ซึ่งก็เป็นความจริง ได้แยกจากกันตั้งแต่วันนั้นมา
จนอวสานแห่งชีวิตของป้า (เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๗)
พรรษาแรกแห่งชีวิตพรหมจรรย์หมดไปด้วยการท่องสามเณรสิกขา
ทำวัตรสวดมนต์ต่างๆ กับทำอุปัชฌายวัตร ยังมิได้เริ่มศีกษานักธรรม
พระครูอดุลยสมณกิจ หรือหลวงพ่อวัดเหนือ (หลวงพ่อดี พุทฺธโชติ)
ได้ต่อเทศน์กัณฑ์อริยทรัพย์ ๗ ประการ แบบต่อหนังสือค่ำให้กัณฑ์หนึ่ง
คือเมื่อเข้าไปทำอุปัชฌายวัตรทุกคืน
ท่านอ่านนำให้ท่องตามทีละวรรค คืนละตอนจนจำได้ทั้งกัณฑ์
แล้วให้ขึ้นเทศน์ปากเปล่าแก่พุทธบริษัทในคืนวันพระคืนหนึ่ง
ครั้นวันออกพรรษาแล้วก็ยังเพลินอยู่ หลวงพ่อจึงชักชวนให้ไปเรียนภาษาบาลี
ที่ วัดเสนหา ตำบลพระปฐมเจดีย์ อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม
เพื่อที่ว่าต่อไปจะได้กลับมาสอนที่ วัดเทวสังฆาราม
ท่านว่าจะสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรมเตรียมไว้ให้
ครั้นสามเณรและผู้เป็นญาติโยมยินยอมแล้ว
หลวงพ่อจึงนำ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ไปฝากไว้กับ
พระครูสังวรวินัย (อาจ ชุตินฺธโร) เจ้าอาวาสวัดเสนหา
เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๐
เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้เริ่มเรียนไวยากรณ์ที่วัดเสนหา ในพรรษาศกนั้น
อาจารย์ผู้สอนเป็นพระเปรียญมาจาก วัดมกุฏกษัตริยาราม
ออกพรรษาแล้ว อาจารย์เห็นว่าจะทรงเจริญก้าวหน้าในการเรียน
จึงชักชวนให้ไปอยู่ที่ วัดมกุฏกษัตริยาราม
และได้ติดต่อฝากฝังทางวัด ให้ทางวัดจัดกุฏิเตรียมสำหรับที่อยู่
และแจ้งว่ามีนิตยภัตบำรุงของเจ้าของกุฏิด้วย
จึงได้หารือเรื่องนี้กับหลวงพ่อ แต่ท่านไม่เห็นด้วย
เพราะท่านคิดจะนำไปฝากให้เรียนต่อที่วัดบวรนิเวศวิหารอยู่
จึงเป็นอันงดไม่ได้ไปอยู่วัดมกุฏกษัตริยาราม
ส่วน พระครูสังวรวินัย (อาจ ชุตินฺธโร) นั้น
ได้อาพาธเป็นวัณโรคถึงแก่มรณภาพในเวลาต่อมา
พระปลัดห้อย (ต่อมาเป็นพระครูสังวรวินัย) เป็นเจ้าอาวาสสืบต่อมา
เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดเสนหา จังหวัดนครปฐม
เรียนแปลธรรมบทปี พ.ศ. ๒๔๗๒ อีกพรรษาหนึ่ง
ออกพรรษาแล้วกลับไปพัก วัดเทวสังฆาราม เตรียมเข้ากรุงเทพฯ
เพราะหลวงพ่อได้เข้ามากราบเรียนฝาก
เจ้าพระคุณสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ วัดบวรนิเวศวิหาร (พระยศในขณะนั้น)
หรือ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์
(สุจิตฺโต ม.ร.ว.ชื่น นภวงศ์) ในกาลต่อมา และท่านได้กรุณารับไว้แล้ว
เจ้าพระคุณสมเด็จฯ มีโอกาสได้เห็น เจ้าพระคุณสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์
เป็นครั้งแรกที่วัดเสนหา เมื่อเสด็จออกไปแสดงธรรมเทศนา
ในงานพระราชทานเพลิงศพ พระครูสังวรวินัย (อาจ ชุตินฺธโร)
หลวงพ่อได้นำ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ
มาฝาก เจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์
เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๒ ก็ได้ทรงพระเมตตารับไว้
และทรงมอบให้อยู่ในความปกครองดูแลของ
พระครูพุทธมนต์ปรีชา (เฉลิม โรจนศิริ ป.ธ. ๓ ต่อมาลาสิกขา)
เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้รับประทานพระฉายา
จากเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ ว่า “สุวฑฺฒโณ”
ได้ปฏิบัติทุกอย่างตามกฎกติกาของวัดบวรนิเวศวิหาร
เช่น ซ้อมสวดมนต์ได้จบหลักสูตรของวัด
ในปีแรกที่มาอยู่ วัดบวรนิเวศวิหาร
ได้ศึกษาพระปริยัติธรรม สอบได้ตามลำดับ ดังนี้
พ.ศ. ๒๔๗๒ พระชนมายุ ๑๗ สอบได้นักธรรมตรี
พ.ศ. ๒๔๗๓ พระชนมายุ ๑๘ สอบได้นักธรรมโท และเปรียญธรรม ๓ ประโยค
พ.ศ. ๒๔๗๕ พระชนมายุ ๒๐ สอบได้นักธรรมเอก และเปรียญธรรม ๔ ประโยค
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๔ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗
ได้เสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐินหลวง วัดบวรนิเวศวิหาร
ขณะนั้น มีการพระราชทานผ้าไตรแก่พระภิกษุสามเณรเปรียญทั้งวัด
เจ้าพระคุณสมเด็จฯ เป็นสามเณรเปรียญรูปเดียวในศกนั้น
ที่ได้เข้ารับพระราชทานผ้าไตรจากพระราชหัตถ์
ปีต่อจากนั้นก็งด
มีเหลือแต่ไตรสดัปกรณ์เพียง ๑๐ ไตร จนกระทั่งปัจจุบัน
บันทึกการเข้า
คันเฮาทำดีแล้ว เขาซังก็ตามซ่าง
คันเฮาเฮ็ดแม่นแล้ว หยันหย่อก็ซ่างเขา
เขาสิพากันท้วง ทั้งเมืองก็บ่เงี่ยง
เขาสิติทั้งค่าย ขายหน้าก็บ่อาย
[img]http://upic.me/i/3q/547204_4384808
HS4 VQN
Sr. Member
กระทู้: 317
Re: น้อมใจส่งเสด็จสู่พระนิพพาน สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน)
«
ตอบกลับ #3 เมื่อ:
26 ตุลาคม 2013, 20:17:17 »
๏ ทรงอุปสมบท
เมื่อ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ มาอยู่ วัดบวรนิเวศวิหาร ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๒
ก็มิได้มาบวชแปลงใหม่เป็นสามเณรธรรมยุต
เพราะหลวงพ่อมีความประสงค์จะให้กลับมาบวช
อยู่ช่วยท่านสอนพระปริยัติธรรมที่ วัดเทวสังฆาราม
ครั้นพระชนมายุครบอุปสมบทได้ ในปี พ.ศ. ๒๔๗๖
เจ้าพระคุณสมเด็จฯ จึงกลับมาอุปสมบทที่ วัดเทวสังฆาราม
เมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๖
ตรงกับวันจันทร์ แรม ๕ ค่ำ เดือน ๗ ปีระกา
โดยมี พระครูอดุลยสมณกิจ (พุทฺธโชติ ดี เอกฉันท์)
เจ้าอาวาสวัดเทวสังฆาราม (วัดเหนือ) เป็นพระอุปัชฌาย์
(สุดท้ายเลื่อนขึ้นเป็น พระเทพมงคลรังษี ถึงแก่มรณภาพเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๐)
พระครูนิวิฐสมาจารย์ (สุวณฺณโชติ เหรียญ รัสสุวรรณ)
เจ้าอาวาสวัดศรีอุปลาราม (วัดหนองบัว) เป็นพระกรรมวาจาจารย์
(สุดท้ายเลื่อนขึ้นเป็น พระโสภณสมาจาร ถึงแก่มรณภาพเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๓)
พระปลัดหรุง เสี่ยงฉี เจ้าอาวาสวัดทุ่งเสมอ เป็นพระอนุสาวนาจารย์
(ถึงแก่มรณภาพเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๙)
เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงอุปสมบทเป็นพระภิกษุ
แล้วจำพรรษาอยู่ที่วัดเทวสังฆาราม ๑ พรรษา
แล้วกลับมาพำนักที่วัดบวรนิเวศวิหาร
ได้ทรงทำทัฬหีกรรม (อุปสมบทซ้ำ) เป็นธรรมยุตอีกครั้งหนึ่ง
ตามธรรมเนียมนิยมของพระสงฆ์ธรรมยุตในครั้งนั้น
เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๖
(ขณะนั้นยังนับเดือนเมษายนเป็นต้นปี)
ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น ๒ ค่ำ เดือน ๔ ปีระกา
ณ พระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร
โดยมี สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์
(สุจิตฺโต ม.ร.ว.ชื่น นภวงศ์) ขณะทรงดำรงสมณศักดิ์เป็นที่
สมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ เป็นพระอุปัชฌาย์
พระรัตนธัชมุนี (อิสฺสรญาโณ จู ทีปรักษพันธุ์)
ขณะดำรงสมณศักดิ์ที่ พระเทพเมธี เป็นพระกรรมวาจาจารย์
มีพระนามฉายาว่า “สุวฑฺฒโน” อันมีความหมายเป็นมงคลว่า ผู้เจริญดียิ่ง
แม้มาอุปสมบทอยู่ วัดบวรนิเวศวิหาร แล้ว
ก็ยังเวียนไปมาช่วยหลวงพ่อสอนพระปริยัติธรรมที่ วัดเทวสังฆาราม อยู่อีก ๒ ปี
ระหว่าง ๓ ปีแรก ที่ทรงอุปสมบทเป็นพระภิกษุนี้ สอบได้ทุกปี คือ
พ.ศ. ๒๔๗๖ พระชนมายุ ๒๑ สอบได้เปรียญธรรม ๕ ประโยค
พ.ศ. ๒๔๗๗ พระชนมายุ ๒๒ สอบได้เปรียญธรรม ๖ ประโยค
พ.ศ. ๒๔๗๘ พระชนมายุ ๒๓ สอบได้เปรียญธรรม ๗ ประโยค
เจ้าพระคุณสมเด็จฯ สอบเป็นพระเปรียญ
สำนักเรียนวัดบวรนิเวศวิหาร เรื่อยมาทุกประโยค
เว้นแต่แต่ประโยค ป.ธ. ๗ สอบในนามสำนักเรียน วัดมกุฏกษัตริยาราม
เพราะเจ้าหน้าที่ สำนักเรียนวัดบวรนิเวศวิหาร ทำตกบัญชีขอเข้าสอบ
จึงไปเที่ยวแสวงหาว่าสำนักเรียนไหน
ส่งชื่อนักเรียนขอเข้าสอบประโยค ป.ธ. ๗ แต่สลละสิทธิ์ไม่สอบ
และทาง วัดมกุฏกษัตริยราม อนุญาตให้เข้าสอบในสำนักเรียนนั้นได้
โดยเลขที่ของผู้ที่สมัครไว้แต่ไม่สอบนั้น
จึงกลายเป็นพระ สำนักเรียนวัดมกุฏกษัตริยาราม ไปประโยคหนึ่ง
เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้เรียนภาษาอังกฤษและสันสกฤต
กับ ท่านสวามีสัตยานันทบุรี ปราชญ์ชาวอินเดีย อยู่ประมาณ ๒ ปี
ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๗๗-๒๔๗๘ ที่ วัดบวรนิเวศวิหาร
แต่การเรียนไม่ค่อยสะดวกนัก
เพราะต้องเป็นครูสอนพระปริยัติธรรมบ้าง บาลีบ้าง ที่ วัดบวรนิเวศวิหาร
และต้องช่วยทำงานอย่างอื่นๆ อีก
เมื่อเวลาสอนมาตรงกับเวลาเรียน ก็ต้องงดการเรียนไปทำการสอน
ในด้านพระปริยัติธรรมได้ทรงสอบบาลีต่อขึ้นไปอีก ดังนี้
พ.ศ. ๒๔๘๑ พระชนมายุ ๒๘ สอบได้เปรียญธรรม ๘ ประโยค
พ.ศ. ๒๔๘๒ พระชนมายุ ๒๙ สอบได้เปรียญธรรม ๙ ประโยค
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26 ตุลาคม 2013, 20:20:53 โดย HS4 VQN
»
บันทึกการเข้า
คันเฮาทำดีแล้ว เขาซังก็ตามซ่าง
คันเฮาเฮ็ดแม่นแล้ว หยันหย่อก็ซ่างเขา
เขาสิพากันท้วง ทั้งเมืองก็บ่เงี่ยง
เขาสิติทั้งค่าย ขายหน้าก็บ่อาย
[img]http://upic.me/i/3q/547204_4384808
HS4 VQN
Sr. Member
กระทู้: 317
Re: น้อมใจส่งเสด็จสู่พระนิพพาน สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน)
«
ตอบกลับ #4 เมื่อ:
26 ตุลาคม 2013, 20:17:30 »
๏ พระศาสนกิจและสมณศักดิ์
เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงเริ่มรับภาระทางวัด
และทางการศึกษาตั้งแต่ยังเป็นพระเปรียญตรี เปรียญโท
คือเป็น ครูสอนพระปริยัติธรรม นักธรรมบ้าง บาลีบ้าง
และเมื่อมีวิทยะฐานะเข้าเกณฑ์เป็นกรรมการตรวจนักธรรมและบาลี
ก็ได้รับแต่งตั้งเป็น กรรมการตรวจและบาลีแห่งสนามหลวง เรื่อยมา
ตั้งแต่นักธรรมชั้นตรีถึงชั้นเอก
ตั้งแต่ประโยค ป.ธ. ๓ ถึง ประโยค ป.ธ. ๙
ได้ทรงรับภาระทางคณะสง์และการพระศาสนาต่างๆ เพิ่มขึ้นเป็นลำดับคือ
• พ.ศ. ๒๔๘๔
เป็นสมาชิกสังฆสภาโดยตำแหน่ง
(ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔)
พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ ฉบับนี้ได้เลิกใช้
เมื่อประกาศใช้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ แทน
เป็นกรรมการสังคายนาพระธรรมวินัย
ซึ่งแต่งตั้งขึ้นตามความในมาตรา ๖๐
แห่งพระราชบัญญัติปกครองคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔
และเป็น ผู้อำนวยการศึกษาสำนักเรียนวัดบวรนิเวศวิหาร
• พ.ศ. ๒๔๘๘
เป็นพระวินัยชั้นอุทธรณ์
เป็น กรรมการสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย
• พ.ศ. ๒๔๘๙
เป็นเลขานุการในพระองค์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์
เป็นอาจารย์บรรยายวิชาพระสูตร และพระอภิธรรม
ในสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย
• พ.ศ. ๒๔๙๐
พระชนมายุได้ ๓๔ พรรษา
ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระโศภณคณาภรณ์
(มีความหมายว่า ผู้เป็นอาภรณ์หรือเครื่องประดับของหมู่คณะอันงาม)
ซึ่งเป็นพระราชทินนามที่ตั้งขึ้นใหม่สำหรับพระราชทานแก่เจ้าพระคุณสมเด็จฯ เป็นรูปแรก
และเป็น กรรมการมหามกุฏราชวิทยาลัย
• พ.ศ. ๒๔๙๓
เป็นกรรมการมหามกุฏราชวิทยาลัย
• พ.ศ. ๒๔๙๓
เป็น กรรมการเถรสมาคมคณะธรรมยุต ประเภทชั่วคราว
• พ.ศ. ๒๔๙๔
เป็น กรรมการอำนวยการมหามกูฏราชวิทยาลัย
กรรมการแผนกตำราของมหามกุฏฯ
• พ.ศ ๒๔๙๕
ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราช ในราชทินนามเดิม
และเป็นผู้ร่วมในคณะฑูตพิเศษที่มหามกุฏราชวิทยาลัย
ส่งไปร่วมฉลองพระบรมสารีริกธาตุและพระอัครสาวกธาตุ
ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา
• พ.ศ. ๒๔๙๖
เป็นกรรมการตรวจชำระคัมภีร์ฎีกา
• พ.ศ. ๒๔๙๗
เป็นกรรมการเถรสมาคมคณะธรรมยุตประเภทถาวร
และเป็นผู้ร่วมในคณะพระเถระแห่งคณะสงฆ์ไทยไปร่วมประชุมสมัยที่ ๒
แห่ง ฉัฏฐสังคายนาพระไตรปิฎก ณ กรุงร่างกุ้ง ประเทศพม่า
• พ.ศ. ๒๔๙๘
ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ในราชทินนามเดิม
• พ.ศ. ๒๔๙๙
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์
(ม.ร.ว.ชื่น นภวงศ์ สุจิตฺโต) วัดบวรนิเวศวิหาร พระราชอุปัธยาจารย์
ของ พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน
ทรงเลือกพระองค์เมื่อครั้งทรงเป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระโศภณคณาภรณ์
ให้เป็น “พระอภิบาล” (พระพี่เลี้ยง) ของพระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ในระหว่างที่ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ และเสด็จประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร
ระหว่างวันจันทร์ที่ ๒๒ ตุลาคม ถึง วันจันทร์ที่ ๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๙
และในอภิลักขิตสมัยเฉลิมพระชนมพรรษาที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๙ นั้น
ก็ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมวราภรณ์
(มีความหมายว่า ผู้มีธรรมเป็นอาภรณ์คือเครื่องประดับอันประเสริฐ)
ซึ่งเป็นพระราชทินนามที่ตั้งขึ้นใหม่สำหรับพระราชทานแก่เจ้าพระคุณสมเด็จฯ เป็นรูปแรก
และรักษาการวินัยธรชั้นฎีกา
• พ.ศ. ๒๕๐๐
เป็น กรรมการพิจารณาร่างระเบียบบริหารวัดธรรมยุต
และได้รับพระราชทานพัดรัตนาภรณ์
• พ.ศ. ๒๕๐๑
เป็น กรรมการคณะธรรมยุต
และเป็น กรรมการมูลนิธิส่งเสริมกิจการพระศาสนาและมนุษยธรรม (ก.ศ.ม.)
• พ.ศ. ๒๕๐๓
เป็นสังฆมนตรีช่วยว่าการองค์การปกครองสั่งการองค์การปกครองฝ่ายธรรมยุต
ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔
องค์การหนึ่งๆ มีสังฆมนตรีสองรูป
สำหรับฝ่ายมหานิกายหนึ่งรูป สำหรับฝ่ายธรรมยุตหนึ่งรูป
และเป็นกรรมการดำเนินการสร้างธรรมสภา (แต่โครงการนี้ได้หยุดชะงักไป)
• พ.ศ. ๒๕๐๔
ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเจ้าคณะรอง
(คือรองเจ้าคณะใหญ่ หรือรองสมเด็จพระราชาคณะ) ที่ พระสาสนโสภณ
(มีความหมายว่า ผู้งามในพระศาสนาหรือผู้ยังพระศาสนาให้งาม)
เป็น เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ลำดับที่ ๖ สืบต่อจากพระพรหมมุนี (ผิน สุวโจ)
เป็น ผู้อำนวยการมหามกุฏราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์
เป็น ประธานกรรมการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย
เป็น กรรมการโครงการเชิดชูและบำรุงพระพุทธศาสนา โดยตำแหน่ง
เป็น ผู้รักษาการเจ้าคณะธรรมยุตทุกภาคทั่วราชอาณาจักร
• พ.ศ. ๒๕๐๖
เป็น พระอุปัชฌาย์
พ.ศ. ๒๕๐๕ มีการเปลี่ยนแปลงพระราชบัญญัติคณะสงฆ์
กล่าวคือ ยกเลิกพระราชบัญญัติคณสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔
แล้วให้ใช้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ แทน
ตามพระราชบัญญัติฉบับใหม่นี้ กำหนดให้มหาเถรสมาคม (มส.)
มีสมเด็จพระสังฆราชเป็นประธาน บริหารปกครองคณะสงฆ์
เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้รับแต่งตั้งเป็น กรรมการมหาเถรสมาคม
ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕
นับเป็นกรรมการมหาเถรสมาคมชุดแรก
ซึ่งประกอบไปด้วยพระมหาเถระทั้งหมด ๘ รูป คือ
(๑) สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (อยู่ ญาโณทโย) วัดสระเกศ
ต่อมาได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช
เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๖ (สิ้นพระชนม์ พ.ศ. ๒๕๐๘)
(๒) สมเด็จพระมหาวีระวงศ์ (จวน อุฏฐายี) วัดมกุฏกษัตริยาราม
ต่อมาได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช
เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๘ (สิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๔)
(๓) สมเด็จพระวันรัต (ปุ่น ปุณฺณสิริ) วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
ต่อมาได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช
เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๕ (สิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๖)
(๔) พระธรรมปัญญาบดี (วน ฐิติญาโณ) วัดอรุณราชวราราม
ต่อมาได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ (มรณภาพเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๐)
(๕) พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (วาสน์ วาสโน) วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม
ต่อมาได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช
เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๗ (สิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๑)
(๖) พระสาสนโสภณ (เจริญ สุวฑฺฒโน) วัดบวรนิเวศวิหาร
คือ เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวรฯ
(๗) พระมหาโพธิวงศาจารย์ (สาลี อินฺทโชโต) วัดอนงคาราม
(มรณภาพเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๑)
(๘) พระมหารัชชมังคลาจารย์ (เทศ นิทฺเทสโก) วัดสัมพันธวงศ์
(มรณภาพเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๐) ครั้นถึงเดือนพฤษาคม ศกเดียวกัน (พ.ศ. ๒๕๐๖)
ได้รับพระราชทานสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
อนึ่ง กรรมการมหาเถรสมาคมชุดแรกนี้
ได้ประชุมกันครั้งแรก ณ พระอุโบสถวัดสระเกศ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๖
เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้รับแต่งตั้งเป็น กรรมการมหาเถรสมาคม
ทุกสมัยตั้งแต่เริ่มต้นมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
เป็นกรรมการปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกบาลี
และเป็น อนุกรรมการพิจารณาร่างกฎมหาเถรสมาคม ตลอดมาทุกสมัย
• พ.ศ. ๒๕๐๗
เป็น อนุกรรมการพิจารณาร่างระเบียบการเดินทางไปต่างประเทศ
ของพระภิกษุสามเณร
เป็น ผู้ถวายพระธรรมเทศนา “พระมงคลวิเสสกถา” (วิเศษกถา)
ในงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
รัชกาลปัจจุบัน เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๐๗
พระมงคลวิเสสกถา เป็นเทศนาพิเศษอย่างหนึ่ง เริ่มมีมาแต่ในรัชกาลที่ ๔
ซึ่งพรรณนาพระราชจรรยาของสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินเพื่อประโยชน์
จะได้ทรงพระปัจจเวขณ์ (คือพิจารณา) ถึงแล้ว เกิดพระปีติปราโมทย์แล้ว
ทรงบำเพ็ญราชธรรมนั้นยิ่งๆ เป็นการอุปถัมภ์พระราชจรรยาให้ถาวรไพบูลย์
พระเถระที่จะรับหน้าที่ถวายในครั้งนั้น สุดแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ปัจจุบัน การถวายพระมงคลวิเสสกถาเป็นหน้าที่ของสมเด็จพระสังฆราช
หรือพระเถระรูปใดรูปหนึ่งที่สมเด็จพระสังฆราชทรงมอบหมาย
• พ.ศ. ๒๕๐๙
เป็น ประธานกรรมการอำนวยการฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ
และในฐานะที่เป็นประธานกรรมการอำนวยการพระธรรมทูตไปต่างประเทศ
ได้ประชุมผู้ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อพิจารณาเพิ่มการศึกษาระดับปริญญาโทของมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่ง
กำหนดให้หลักสูตรพระธรรมทูตรวมอยู่ด้วย
เพราะผู้ที่มารับการศึกษาอบรมพระธรรมฑูตนั้น
ได้ผ่านการศึกษาขั้นปริญญาตรีของสองมหาวิทยาลัยสงฆ์มาแล้ว
ทั้งเป็นการช่วยให้พระที่ต้องการจะศึกษาต่อปริญญาโท
ไม่ต้องเดินทางไปศึกษาต่อในต่างประเทศ
เป็นการช่วยประหยัดการใช้จ่ายของประเทศได้อีกทางหนึ่งด้วย
และในโอกาสเดียวกันก็ได้เสนอมหาเถรสมาคม
ให้รับรองมหาวิทยาลัยสงฆ์
คือสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย ในวัดบวรนิเวศวิหาร
และมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ในวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์
เป็นการศึกษาของคณะสงฆ์
ผลปรากฏว่า ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๒
คณะสงฆ์ก็ได้รับรองสองมหาวิทยาลัยสงฆ์
เป็นการศึกษาของคณะสงฆ์นับว่าเป็นครั้งแรก
ที่ทำให้สองมหาวิทยาลัยสงฆ์ดังกล่าวมาแล้ว
เป็นสถาบันการศึกษาชั้นสูงของคณะสงฆ์โดยถูกต้องสมบูรณ์
สำหรับข้อพิจารณาเพิ่มการศึกษาขั้นปริญญาโทของคณะสงฆ์ขึ้น
แม้ว่าโครงการนี้จะยังไม่สำเร็จตามโครงการในขณะนั้น
แต่ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๐ มหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่ง
ก็ได้เปิดหลักสูตรปริญญาโทขึ้นเป็นผลสำเร็จ
นับว่าเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้ทรงมีพระคุณูปการ
แก่การศึกษาของคณะสงฆ์ในด้านนี้เป็นอย่างยิ่ง
• พ.ศ. ๒๕๑๐
เป็นประธานอนุกรรมการพิจารณาเรื่องวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาประจำปี ๒๕๑๑
เป็นประธานอนุกรรมการพิจาณาร่างระเบียบมหาเถรสมาคม
ว่าด้วยวิธีการปฏิบัติในการปลูกสร้างอากาศในที่ดินของวัดซึ่งที่ผู้เช่าอยู่
เป็นประธานอนุกรรมการพิจาณาหลักเกณฑ์ยกเว้นค่าโดยสารรถไฟ
ให้พระภิกษุสามเณรในพระพุทธศาสนา
และเป็นอนุกรรมการพิจาณณาแก้ไขข้อขัดข้องในระหว่างวัดกับผู้เช่า (พ.ว.ช.)
• พ.ศ. ๒๕๑๑
เป็น ประธานอนุกรรมการพิจารณาโครงการรับการศึกษา
ของมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองเป็นการศึกษาของคณะสงฆ์
• พ.ศ. ๒๕๑๒
เป็น กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิโครงการจัดตั้งโรงเรียนพระสังฆาธิการส่วนกลาง
• พ.ศ. ๒๕๑๔
เป็น ประธานอนุกรรมการพิจารณาร่างกฏมหาเถรสมาคม
ว่าด้วยการลงนิคหกรรมแก่พระภิกษุ
• พ.ศ. ๒๕๑๕
เป็น พระธานกรรมการบริหารงานของสภาการศึกษาของคณะสงฆ์
เป็น รองประธานกรรมการและผู้อำนวยการ
โรงเรียนพระสังฆาธิการคณะธรรมยุต
เป็น เจ้าคณะกรุงเทพมหานคร และสมุทรปราการ (ธรรมยุต)
และเป็น ประธานกรรมการมูลนิธิสงเคราะห์คนเป็นโรคเรื้อน
• พ.ศ. ๒๕๑๖
เป็น ประธานอนุกรรมการพิจารณาปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาของคณะสงฆ์
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26 ตุลาคม 2013, 20:32:09 โดย HS4 VQN
»
บันทึกการเข้า
คันเฮาทำดีแล้ว เขาซังก็ตามซ่าง
คันเฮาเฮ็ดแม่นแล้ว หยันหย่อก็ซ่างเขา
เขาสิพากันท้วง ทั้งเมืองก็บ่เงี่ยง
เขาสิติทั้งค่าย ขายหน้าก็บ่อาย
[img]http://upic.me/i/3q/547204_4384808
HS4 VQN
Sr. Member
กระทู้: 317
Re: น้อมใจส่งเสด็จสู่พระนิพพาน สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน)
«
ตอบกลับ #5 เมื่อ:
26 ตุลาคม 2013, 20:17:43 »
๏ สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ครั้นเมื่อถึงวันที่ ๒๑ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๓๒ นี้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้สถาปนาสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) ขึ้นเป็น
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
นับเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
และเป็นเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต สืบต่อจาก
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (วาสน์ วาสโน)
สมเด็จพระญาณสังวร บรมนริศธรรมนีติภิบาล อริยวงศาคตญาณวิมล
สกลมหาสังฆปริณายก ตรีปิฎกปริยัติธาดา วิสุทธจริยาธิสมบัติ
สุวัฑฒนภิธานสงฆวิสุต ปาวจนุตตมพิสาร สุขุมธรรมวิธานธำรง
วชิรญาณวงศวิวัฒ พุทธะบริษัทคารวสถาน วิจิตรปฏิภาณพัฒนคุณ
วิบุลสีลาจารวัตรสุนทร บวรธรรมบพิตร
สรรพคณิศรมหาปธานาธิบดี คามวาสีอรัณยวาสี
สมเด็จพระสังฆราช เสด็จสถิต ณ วัดบวรนิเวศวิหาร พระอารามหลวง
ทรงเจริญพระชนมายุ วรรณ สุข พล ปฏิภาณ
คุณสารสิริสวัสดิ์ จิรัฏฐิติ วิรุฬหิไพบูลย์ ในพระพุทธศาสนาเทอญฯ
พระนาม และคำแปล
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จ พระผู้มีสังวรธรรม (ธรรมเป็นเครื่องระวัง)
อันประกอบด้วยพระปรีชาญาณ
บรมนริศธรรมนีติภิบาล
ทรงเป็นพระอภิบาล (พระพี่เลี้ยง) ในการถวายแนะนำพระธรรม
แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงเป็นใหญ่อย่างยิ่งในหมู่นรชน
อริยวงศาคตญาณวิมล
ผู้บริสุทธิ์ปราศจากมลทิน
ด้วยพระญาณอันสืบมาแต่วงศ์ของพระอริยะเจ้า
สกลมหาสังฆปริณายก
ทรงเป็นผู้นำพระสงฆ์หมู่ใหญ่ทั้งปวง
ตรีปิฎกปริยัติธาดา
เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งพระปริยัติธรรม คือพระไตรปิฎก
วิสุทธจริยาธิสมบัติ
ทรงถึงพร้อมอย่างยิ่งด้วยพระจริยา (ความประพฤติ) อันบริสุทธิ์วิเศษ
สุวัฑฒนภิธานสงฆวิสุต
ปรากฏพระนาม (พระฉายา) ในทางพระสงฆ์ว่า สุวัฑฒนะ
ปาวจนุตตมพิสาร
ทรงพระปรีชากว้างขวางในพระอุดมปาพจน์
(คำอันเป็นประธานคือพระธรรมวินัยอันสูงสุด)
สุขุมธรรมวิธานธำรง
เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งธรรมวิธีอันละเอียดอ่อน
วชิรญาณวงศวิวัฒ
ทรงเจริญรอยตามสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์
พุทธบริษัทคารวสถาน
ทรงเป็นที่ตั้งแห่งความเคารพของพุทธบริษัท
วิจิตรปฏิภาณพัฒนคุณ
ทรงมีพระคุณอันเจริญด้วยพระปฏิภาณอันวิจิตร
วิบุลสีลาจารวัตรสุนทร
ทรงงดงามด้วยพระศีลจารวัตรอันไพบูลย์
บวรธรรมบพิตร
ทรงเป็นบพิตร (เป็นเจ้า) ทรงพระธรรมอันประเสริฐ
สรรพคณิศรมหาปธานาธิบดี
ทรงเป็นประธานและอธิบดีผู้เป็นใหญ่ เป็นอิสระของคณะสงฆ์ทั้งปวง
คามวาสีอรัณยวาสี ทั้งคามวาสีและอรัณยวาสี
สมเด็จพระสังฆราช ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช
เสด็จสถิต ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ราชวรวิหาร พระอารามหลวง
ทรงเจริญพระชนมายุ วรรณ สุข พล ปฏิภาณ
คุณสารสิริสวัสดิ์ จิรัฏฐิติ วิรุฬหิไพบูลย์ ในพระพุทธศาสนา เทอญฯ
ผู้แปลความพระสุพรรณบัฏ
นายสิริ เพ็ชรไชย ป.ธ. ๙
นายสุชีพ ปุญญานุภาพ ป.ธ. ๙ ตรวจ
นายแปลก สนธิรักษ์ ป.ธ. ๙ ตรวจ
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26 ตุลาคม 2013, 20:34:47 โดย HS4 VQN
»
บันทึกการเข้า
คันเฮาทำดีแล้ว เขาซังก็ตามซ่าง
คันเฮาเฮ็ดแม่นแล้ว หยันหย่อก็ซ่างเขา
เขาสิพากันท้วง ทั้งเมืองก็บ่เงี่ยง
เขาสิติทั้งค่าย ขายหน้าก็บ่อาย
[img]http://upic.me/i/3q/547204_4384808
HS4 VQN
Sr. Member
กระทู้: 317
Re: น้อมใจส่งเสด็จสู่พระนิพพาน สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน)
«
ตอบกลับ #6 เมื่อ:
26 ตุลาคม 2013, 20:37:48 »
ภาพจริยวัตร อันงดงามขององค์สังฆบิดร
บันทึกการเข้า
คันเฮาทำดีแล้ว เขาซังก็ตามซ่าง
คันเฮาเฮ็ดแม่นแล้ว หยันหย่อก็ซ่างเขา
เขาสิพากันท้วง ทั้งเมืองก็บ่เงี่ยง
เขาสิติทั้งค่าย ขายหน้าก็บ่อาย
[img]http://upic.me/i/3q/547204_4384808
HS4 VQN
Sr. Member
กระทู้: 317
Re: น้อมใจส่งเสด็จสู่พระนิพพาน สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน)
«
ตอบกลับ #7 เมื่อ:
26 ตุลาคม 2013, 20:38:36 »
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26 ตุลาคม 2013, 20:41:35 โดย HS4 VQN
»
บันทึกการเข้า
คันเฮาทำดีแล้ว เขาซังก็ตามซ่าง
คันเฮาเฮ็ดแม่นแล้ว หยันหย่อก็ซ่างเขา
เขาสิพากันท้วง ทั้งเมืองก็บ่เงี่ยง
เขาสิติทั้งค่าย ขายหน้าก็บ่อาย
[img]http://upic.me/i/3q/547204_4384808
HS4 VQN
Sr. Member
กระทู้: 317
Re: น้อมใจส่งเสด็จสู่พระนิพพาน สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน)
«
ตอบกลับ #8 เมื่อ:
26 ตุลาคม 2013, 20:38:47 »
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26 ตุลาคม 2013, 20:45:52 โดย HS4 VQN
»
บันทึกการเข้า
คันเฮาทำดีแล้ว เขาซังก็ตามซ่าง
คันเฮาเฮ็ดแม่นแล้ว หยันหย่อก็ซ่างเขา
เขาสิพากันท้วง ทั้งเมืองก็บ่เงี่ยง
เขาสิติทั้งค่าย ขายหน้าก็บ่อาย
[img]http://upic.me/i/3q/547204_4384808
HS4 VQN
Sr. Member
กระทู้: 317
Re: น้อมใจส่งเสด็จสู่พระนิพพาน สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน)
«
ตอบกลับ #9 เมื่อ:
26 ตุลาคม 2013, 20:39:00 »
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26 ตุลาคม 2013, 20:52:29 โดย HS4 VQN
»
บันทึกการเข้า
คันเฮาทำดีแล้ว เขาซังก็ตามซ่าง
คันเฮาเฮ็ดแม่นแล้ว หยันหย่อก็ซ่างเขา
เขาสิพากันท้วง ทั้งเมืองก็บ่เงี่ยง
เขาสิติทั้งค่าย ขายหน้าก็บ่อาย
[img]http://upic.me/i/3q/547204_4384808
HS4 VQN
Sr. Member
กระทู้: 317
Re: น้อมใจส่งเสด็จสู่พระนิพพาน สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน)
«
ตอบกลับ #10 เมื่อ:
26 ตุลาคม 2013, 20:39:12 »
องค์สมเด็จ กับ ครูบาอาจารย์ สายธรรมยุติ
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26 ตุลาคม 2013, 21:00:32 โดย HS4 VQN
»
บันทึกการเข้า
คันเฮาทำดีแล้ว เขาซังก็ตามซ่าง
คันเฮาเฮ็ดแม่นแล้ว หยันหย่อก็ซ่างเขา
เขาสิพากันท้วง ทั้งเมืองก็บ่เงี่ยง
เขาสิติทั้งค่าย ขายหน้าก็บ่อาย
[img]http://upic.me/i/3q/547204_4384808
HS4 VQN
Sr. Member
กระทู้: 317
Re: น้อมใจส่งเสด็จสู่พระนิพพาน สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน)
«
ตอบกลับ #11 เมื่อ:
26 ตุลาคม 2013, 21:01:33 »
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26 ตุลาคม 2013, 21:13:18 โดย HS4 VQN
»
บันทึกการเข้า
คันเฮาทำดีแล้ว เขาซังก็ตามซ่าง
คันเฮาเฮ็ดแม่นแล้ว หยันหย่อก็ซ่างเขา
เขาสิพากันท้วง ทั้งเมืองก็บ่เงี่ยง
เขาสิติทั้งค่าย ขายหน้าก็บ่อาย
[img]http://upic.me/i/3q/547204_4384808
HS4 VQN
Sr. Member
กระทู้: 317
Re: น้อมใจส่งเสด็จสู่พระนิพพาน สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน)
«
ตอบกลับ #12 เมื่อ:
26 ตุลาคม 2013, 21:02:00 »
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26 ตุลาคม 2013, 21:32:40 โดย HS4 VQN
»
บันทึกการเข้า
คันเฮาทำดีแล้ว เขาซังก็ตามซ่าง
คันเฮาเฮ็ดแม่นแล้ว หยันหย่อก็ซ่างเขา
เขาสิพากันท้วง ทั้งเมืองก็บ่เงี่ยง
เขาสิติทั้งค่าย ขายหน้าก็บ่อาย
[img]http://upic.me/i/3q/547204_4384808
HS4 VQN
Sr. Member
กระทู้: 317
Re: น้อมใจส่งเสด็จสู่พระนิพพาน สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน)
«
ตอบกลับ #13 เมื่อ:
26 ตุลาคม 2013, 21:44:51 »
บันทึกการเข้า
คันเฮาทำดีแล้ว เขาซังก็ตามซ่าง
คันเฮาเฮ็ดแม่นแล้ว หยันหย่อก็ซ่างเขา
เขาสิพากันท้วง ทั้งเมืองก็บ่เงี่ยง
เขาสิติทั้งค่าย ขายหน้าก็บ่อาย
[img]http://upic.me/i/3q/547204_4384808
HS4 VQN
Sr. Member
กระทู้: 317
Re: น้อมใจส่งเสด็จสู่พระนิพพาน สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน)
«
ตอบกลับ #14 เมื่อ:
26 ตุลาคม 2013, 21:47:56 »
น้อมส่งพระองค์สู่แดนนิพพาน ด้วยเศียรเกล้า
บันทึกการเข้า
คันเฮาทำดีแล้ว เขาซังก็ตามซ่าง
คันเฮาเฮ็ดแม่นแล้ว หยันหย่อก็ซ่างเขา
เขาสิพากันท้วง ทั้งเมืองก็บ่เงี่ยง
เขาสิติทั้งค่าย ขายหน้าก็บ่อาย
[img]http://upic.me/i/3q/547204_4384808
พิมพ์
หน้า: [
1
]
2
ขึ้นบน
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
ชมรมนักวิทยุสมัครเล่นแก่นทอง จังหวัดขอนแก่น ความถี่ 144.750 MHz
»
สถานที่ท่องเที่ยวและคลังแห่งการเรียนรู้ทางพุทธศาสนา
»
พระเถรานุเถระ พระเกจิอาจารย์ และองค์ปู่ฤาษี
»
น้อมใจส่งเสด็จสู่พระนิพพาน สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน)
Tweet